แม้ว่าโลกจะก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนในกระบวนการผลิต แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ระบบไฮดรอลิค” เป็นอีกหนึ่งระบบที่ช่วยการขับเคลื่อนแรงดันไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องจักรภายในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีขนาดเล็กแต่มีแรงมาก และหนึ่งในอุปกรณ์ที่มีความเกี่ยวเนื่องและมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในกระบวนการผลิตนี้ คือ สายไฮดรอลิค (Hydraulic Hose)
“สายไฮดรอลิค” มีความสำคัญอย่างไร ทำไมอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องเลือกสเปคให้เหมาะกับการใช้งาน ก็เพราะว่าจริงๆ แล้ว ระบบไฮดรอลิคต้องใช้การขับเคลื่อนด้วยความแรงดันที่มีความเร็วสูง เราลองจินตนากันดูว่า เมื่อการเลือกใช้สายไฮดรอลิคที่ไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดความเสียหายขนาดไหน ทั้งอันตรายจากสารเคมีรั่วไหล สร้างผลกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อม หรือกระทั่งการผลิตต้องหยุดชะงักลง วันนี้เรามีเทคนิคการเลือกสายไฮดรอลิคให้เหมาะกับงาน ภายใต้สูตร “ STAMPE” ดังนี้
S – Size ขนาด: เส้นผ่านศูนย์กลางภายในและภายนอกของท่อรวมทั้งความยาว
T – Temperature อุณหภูมิ: อุณหภูมิแวดล้อมและอุณหภูมิสารเคมีที่ลำเลียงผ่านท่อ
A – Application หลักเกณฑ์เฉพาะ : ของเหลวที่ไหลผ่านสายไฮดรอลิค รัศมีการโค้งงอขั้นต่ำ การเสียดสี และน้ำหนัก
M – Material วัสดุ : ทนต่อการกัดกร่อนของของเหลวที่ไหลผ่านสายไฮดรอลิค มีความแข็งแรงเมื่อต้องใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง
P – Pressure ความดัน: ทนต่อแรงดันจากของเหลวที่ไหลผ่าน E - Ends – hydraulic hose fittings/ends : ข้อต่อที่ต่อเข้ากับสายไฮดรอลิค
เมื่อรู้สูตร “STAMPE” กันอย่างคร่าวๆ แล้ว เราได้รวมสุดยอดเทคนิคเลือกสายไฮดรอลิคให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละด้านอย่างละเอียด เพื่อการเลือกซื้อได้อย่างถูกต้องและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด มาเริ่มกันเลย
เส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อจะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับการไหลของเหลวได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดการสูญเสียแรงดัน หากเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กเกินไปสำหรับการไหล จะทำให้เกิดแรงเสียดทาน ความร้อนของระบบจะสูงขึ้น และก่อให้เกิดความปั่นป่วนกับระบบได้ง่ายๆ นอกจากนี้ควรพิจารณาขนาดความหนาและความบางของสายไฮดรอลิคด้วย โดยสายยางที่บางกว่าจะช่วยให้โค้งงอได้รอบมุมที่แน่นกว่าสายยางที่หนากว่า ดังนั้นสายที่บางกว่าจะเคลื่อนผ่านพื้นที่แคบได้ง่ายกว่าสายที่มีขนาดใหญ่
จริงๆ แล้วอุณหภูมิจะลดประสิทธิภาพการทำงานให้ลดลงนั่นเอง ซึ่งเกณฑ์การเลือกสายไฮดรอลิคให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีด้วยกัน 2 เรื่องหลักๆ ดังนี้ · อุณหภูมิต้องสัมพันธ์กับของเหลวในท่อ อุณหภูมิของเหลวที่สูงเกินไป อาจทำให้ยางในของท่อไฮดรอลิคแตกได้ โดยทั่วไปแล้ว สายไฮดรอลิคที่ดีควรสามารถรองรับอุณหภูมิของเหลวอยู่ระหว่าง -40 ถึง +120 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิของเหลวจะสูงกว่านั้น อาจจะต้องอัพเกรดท่อเป็นเทฟลอน หรือ สายสแตนเลส เนื่องจากมีคุณสมบัติที่รองรับของเหลวที่มีอุณหภูมิมากกว่า 300 องศาเซลเซียส
ในโรงงานอุตสาหกรรมแต่ละแห่งก็มีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ซึ่งมีหลักเกณฑ์หลากหลายที่ควรเลือกใช้สายไฮดรอลิคให้เหมาะสมกับการใช้งาน อาทิ ของเหลวที่ไหลผ่านท่อ รัศมีการโค้งงอขั้นต่ำ ความร้อน การเสียดสี น้ำหนัก ต่างๆ อาทิ รูปร่างของส่วนโค้งของเหลวจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่อนี้จะต้องบางพอที่จะโค้งงอให้ได้รัศมีที่จำเป็น แต่ต้องทนต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตามปกติด้วย นอกจากนี้ภายนอกของสายไฮดรอลิคต้องทนต่อการขีดข่วนสูง
ความเข้ากันของเหลวที่จะส่งไปรอบ ๆ กับระบบไฮดรอลิค มีความสำคัญมาก ดังนั้นการเลือกใช้สายไฮดรอลิคต้องคำนึงถึงวัสดุภายในท่อซึ่งต้องทนต่อการกัดกร่อนของของเหลวที่ไหลผ่าน ไม่เช่นนั้นจะทำให้สายไฮดรอลิครั่วซึมได้
ความทนต่อแรงดัน ควรเลือกท่อที่มีพิกัดแรงดันใช้งานสูงกว่าแรงดันของระบบไฮดรอลิค โดยคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอัตราการไหลและความยาวท่อที่กำหนด ซึ่งโดยปกติแล้ว แรงดันใช้งานจะลดลงเมื่อเส้นผ่านศูนย์กลางท่อใหญ่ขึ้นภายในสายผลิตภัณฑ์ โดยวิธีการคำนวณแรงดันแบบง่าย ดังนี้ หากแรงดันใช้งานของระบบอยู่ที่ 500 PSI แต่อาจมีแรงดันเพิ่มขึ้นมาที่ 750 PSI เป็นบางครั้งบางคราว ดังนั้นหากเลือกใช้สายยางที่มีพิกัด 650 PSI จะไม่เพียงพอแม้จะสูงกว่าแรงดันใช้งานก็ตาม เป็นต้น
คุณสมบัติของข้อต่อนอกจากต้องมีความแข็งแรง ทนทานต่อ อุณหภูมิ การเลือกข้อต่อที่ให้เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ควรคำนึงถึงเส้นทางของท่อด้วย เช่น หากท่อต้องเลี้ยวแบบทันที ควรพิจารณาข้อต่อ 90 องศาเพื่อตัวท่อที่โค้งงอ
ขณะเดียวกันควรเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับของเหลวด้วย เช่น วัสดุข้อต่อที่เป็นทองเหลืองควรใช้สำหรับระบบแรงดันต่ำเท่านั้น ในทางกลับกัน วัสดุข้อต่อที่เป็นสแตนเลสสามารถทนต่อกัดกร่อนได้ดีกว่าวัสดุข้อต่อที่เป็นเหล็ก แต่ราคาจะแพงกว่า หากการเลือกวัสดุข้อต่อไม่ถูกต้อง จะส่งผลให้เกิดการกัดกร่อนทำลายชิ้นส่วนโลหะของข้อต่อไฮดรอลิคได้ ซึ่งวัสดุทั่วไปสำหรับข้อต่อ มีหลากหลายชนิด ได้แก่ เหล็กกล้าชุบคาร์บอน เหล็กกล้าไร้สนิม เหล็กกล้า ทองเหลือง และสแตนเลส
เมื่อเลือกใช้สายไฮดรอลิคให้เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว อย่าลืมพิจารณาถึงมาตรฐานการผลิตของสายไฮดรอลิคด้วย เพราะปัจจุบันมีสายไฮดรอลิคให้เลือกมากมาย ดังนั้นควรเลือกผู้ขายที่มีมาตรฐานการผลิตที่ได้คุณภาพ โดยวิธีการตรวจสอบผลิตภัณฑ์แบบง่ายๆ เช่น สายไฮดรอลิคทั้งหมดต้องมี หมายเลขการผลิต วันเดือนปีในการผลิตตามมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ขนาด แรงดัน และก่อนการใช้งานควรตรวจสอบข้อต่อและภายในสายให้แน่ใจว่าไม่มีคราบ สิ่งสกปรก และตะกรัน เพราะจะทำให้ท่อแตก พอง หรือสึกกร่อนได้ง่าย
สำหรับใครที่กำลังมองหาสินค้าเกี่ยวกับสายไฮดรอลิค Premier Hydraulic เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายปลีก-ส่ง สายไฮดรอลิค สายสแตนเลส สายเทอร์โมพลาสติก สายฉีดน้ำแรงดันสูง ข้อต่อไฮดรอลิค และข้อต่อสแตนเลส ที่มีคุณภาพสูง รวมถึงผลิตข้อต่อตามตัวอย่างของลูกค้า อีกทั้งบริการ ประกอบสายพร้อมข้อต่อไฮดรอลิค เชื่อมสายแสตนเลส ตามความต้อการของลูกค้าโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ พร้อมโรงงานผลิตที่ผ่านมาตรฐานระดับสากล และยังเป็นส่วนหนึ่งของ "INTERPUMP GROUP" ซึ่งเป็นผู้นำในระบบไฮดรอลิคครบวงจร โดยมีสินค้าดังนี้
สายไฮดรอลิค คุณภาพสูง มาตรฐาน "INTERPUMP FLUID SOLUTIONS" จากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็น แบรนด์ที่ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานสากล โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย · สายเทอร์โมพลาสติก มาตรฐานอิตาลี "TRANSFER OIL" R7, R8, Chemical Hose · สายเทฟลอน มาตรฐานอิตาลี "FHT" TEFLON PTFE HOSE · สายแสตนเลส สายเฟล็กซ์ สายข้ออ่อน สายท่ออ่อน METAL HOSE SS304, 321, 316L "MADRAS" · Quick Release Coupling มาตรฐานอิตาลี "INTERPUMP FLUID SOLUTIONS" คัปปลิ้งน้ำมัน คัปปลิ้งสวมเร็ว · Camlock Coupling มาตรฐานอเมริกา "ANIX" Premier Hydraulic ยังมีบริการถอดประกอบสายไฮดรอลิคสำหรับรถอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น รถแบคโฮ โฟล์คลิฟท์ หรือการถอดประกอบสายไฮดรอลิคในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
สามารถดูสินค้าและสายไฮดรอลิคคุณภาพดีเยี่ยมประเภทต่างๆ ได้ที่นี่
สนใจติดต่อได้ที่
873 Soi Sukhumvit 101/1 , Bangchak, Phrakhanong, Bangkok , Thailand 10260
Tel : 095-595-3645
Tel: +662 746 2212
Fax: +662 746 2215